ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์คาราบาว คัพ ในฤดูกาล 2021-22 ไปครองได้สำเร็จ หลังจากชนะการดวลจุดโทษเหนือ เชลซี ในนัดชิงชนะเลิศที่เวมบลี่ย์
หลังจากเสมอกันแบบไร้สกอร์ใน 120 นาทีของเกม ทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ก็ได้ชูถ้วยแชมป์ไปครองจากชัยชนะ 11-10 ในการดวลจุดโทษที่ต้องตัดสินจากผู้รักษาประตูทั้งสองฝั่ง แล้วเป็น เกป้า อาร์ริซาบาลาก้า ที่ยิงพลาดคนสุดท้าย
มันเป็นความสำเร็จครั้งแรกของสโมสรในรอบหนึ่งทศวรรษเลยทีเดียว และเป็นสมัยแรกภายใต้การคุมทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ โดยก่อนหน้านี้พวกเขาคว้าแชมป์ในปี 1981, 1982, 1983, 1984, 1995, 2001, 2003 และ 2012 อย่างไรก็ตามนี่คือ 5 ประเด็นที่น่าสนใจจากเกมนัดนี้…
1. เกป้า ถูกส่งลงมาเพื่อเซฟจุดโทษ แต่ทว่า…
ติโม แวร์เนอร์, โรเมลู ลูกากู และ ไค ฮาเวิร์ตซ์ ต่างส่งบอลเข้าประตูจนมันน่าจะทำให้ เชลซี เอาชนะด้วยซ้ำ แต่ทว่าถูกริบประตูทั้งหมด ขณะที่ ลิเวอร์พูล ก็มีโอกาสจะเป็นฝ่ายชนะตั้งแต่ในเกมเช่นกันเมื่อประตูของ โจเอล มาติป ถูกปฏิเสธโดย VAR
หลังจากพลาดโอกาสเหล่านั้นไป มันก็มาถึงช่วงเวลาที่จะต้องดวลจุดโทษ และ เชลซี ก็ตัดสินใจเปลี่ยนตัว โธมัส ทูเคิ่ล มั่นใจในการส่งตัว เกป้า อาร์ริซาบาลาก้า ไปเซฟจุดโทษโดยเฉพาะ
อย่างไรก็ตามนายทวารชาวสแปนิชไม่ได้เซฟแม้แต่ลูกเดียวจาก 11 ประตูของลิเวอร์พูล และมันก็มาถึงหน้าที่ของเขาเองที่จะต้องทำประตูเป็นคนสุดท้ายของการดวลจุดโทษ
ในขณะที่ ควีวิน เคลเลเฮอร์ ยิงเข้าไป แต่ทว่า เกป้า ซัดเต็มแรงข้ามคานไปไกล นั่นส่งผลให้ ลิเวอร์พูล คว้าเป็นแชมป์คาราบาว คัพ เป็นสมัยที่ 9 ไปครอง ดังนั้นเมื่อจบเกมไปมันมีคำถามมากมายว่าการส่ง เกป้า ลงไปเซฟจุดโทษแทน เอดูอาร์ เมนดี้ ที่โชว์ฟอร์มยอดเยี่ยมตลอดทั้งเกมนั้นถูกต้องหรือไม่?
2. VAR ตกเป็นประเด็นอีกครั้ง
โจเอล มาติป โหม่งพังประตูให้ ลิเวอร์พูล จนนำไปสู่การเฉลิมฉลองจากเหล่าเดอะค็อปทั่วทั้งเวมบลี่ย์ อย่างไรก็ตามเสียงกลับกลายเป็นการถอนหายใจแทนเมื่อ VAR ตัดสินว่าเป็นจังหวะล้ำหน้า
มันเกิดขึ้นในนาทีที่ 68 เมื่อ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เปิดฟรีคิกไปที่หลังไกล แล้วก็เป็น ซาดิโอ มาเน่ ที่โหม่งชงไปให้ มาติป โขกเข้าไปเต็ม ๆ อย่างไรก็ตามก่อนจะถึงหัวของ มาเน่ มันเป็น เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการได้ประตูยืนอยู่ในตำแหน่งล้ำหน้าไปก่อนแล้ว
เชลซี เองก็โดน VAR แทรกแซงเหมือนกัน โดยเฉพาะในช่วงต่อเวลาพิเศษเมื่อ โรเมลู ลูกากู ได้บอลแทงทะลุช่องจาก เทรโวห์ ชาโลบาห์ ก่อนจะล็อกหลบ อิบราฮิมา โกนาเต้ ในเขตโทษแล้วส่งบอลเข้าตาข่าย แต่ VAR จับได้ว่าหัวหอกชาวเบลเยียมล้ำหน้าเพียงไม่กี่เซนติเมตร
3. แชมป์ประวัติศาสตร์ของลิเวอร์พูล
หลังจาก ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์คาราบาว คัพ ไปครอง ทำให้พวกเขาเป็นสโมสรที่ได้แชมป์รายการนี้มากที่สุด
ชัยชนะที่ เวมบลี่ย์ สเตเดี้ยม เป็นแชมป์สมัยที่ 9 ของทัพหงส์แดงในรายการนี้แล้ว ซึ่งมากกวา แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่คว้าไป 8 สมัย และยังทำให้ ลิเวอร์พูล ได้แชมป์ระดับเมเจอร์รายการที่ 48 ทิ้งห่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่คว้าไป 45 รายการอีกด้วย
แชมป์คาราบาว คัพ ยังเป็นถ้วยใบที่ 5 ของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ในการคุมถิ่นแอนฟิลด์ และเป็นบอลถ้วยในประเทศรายการแรกของเขากับ ลิเวอร์พูล เลยทีเดียว
4. ควีวิน เคลเลเฮอร์ ผู้รักษาประตูมือสองที่ดีที่สุดในโลก!
เยอร์เก้น คล็อปป์ ออกมายืนยันก่อนเกมนัดชิงชนะเลิศ คาราบาว คัพ ว่าจะให้ ควีวิน เคลเลเฮอร์ ลงเฝ้าเสาเป็นตัวจริงในเกมนี้ แม้ว่า อลีสซง เบ็คเกอร์ นายทวารตัวเลือกแรกของทีมจะมีประสบการณ์มากกว่ามากในนัดชิงชนะเลิศก็ตาม
คล็อปป์ มักจะให้โอกาส เคลเลเฮอร์ ลงเฝ้าเสาในบอลถ้วย และนายทวารชาวไอริชได้ลงเล่นถ้วยคาราบาว คัพ ฤดูกาลนี้มาโดยตลอด ยกเว้นนัดรอบรองชนะเลิศ เลกแรก ที่พบกับ อาร์เซนอล เนื่องจากกุนซือหงส์แดงต้องการให้นายด่านชาวบราซิลได้แมตช์ฟิตเนสหลังฟื้นตัวจากการติดโควิด-19
อย่างไรก็ตามเกมนี้ เคลเลเฮอร์ ทำหน้าที่ได้ดี และเมื่อต้องมาถึงการดวลจุดโทษ แม้ว่าเขาอาจจะไม่ได้เซฟจุดโทษได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่เขาเป็นคนสุดท้ายของทีมที่สังหารจุดโทษแล้วไม่พลาดทำให้สวมบทฮีโร่ให้ทีมคว้าแชมป์ไปครอง
โดยหลังจบเกม คล็อปป์ ถึงกับชมด้วยว่า เคลเลเฮอร์ คือผู้รักษาประตูมือสองที่ดีที่สุดในโลกเลยทีเดียว “เคลเลเฮอร์ คือผู้รักษาประตูมือสองที่ดีที่สุดในโลก เขาเล่นได้อย่างยอดเยี่ยม ชีวิตของการเป็นมือสองนั้นคุณต้องพร้อมเสมอเมื่อโอกาสมา และวันนี้เขาก็เล่นได้อย่างยอดเยี่ยมมาก” คล็อปป์ กล่าว
5. หลุยส์ ดิอาซ เฉิดฉายในที่ ซาดิโอ มาเน่ และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ เงียบ
หลุยส์ ดิอาซ เพิ่งย้ายมาจาก เอฟซี ปอร์โต้ เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมาเท่านั้น และเพิ่งได้ลงเล่น 6 เกมจนถึงเวลานี้ แต่การปรับตัวของดาวเตะชาวโคลอมเบียในทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ เป็นไปอย่างราบรื่นและรวดเร็วมาก ๆ
ดิอาซ ลงเล่นทางกราบซ้ายในเกมนี้ และประสานงานกับเพื่อนร่วมทีมได้อย่างยอดเยี่ยม แม้ว่า ซาดิโอ มาเน่ และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ อาจจะเงียบไปหน่อยในเกมสำคัญแบบนี้ แต่ ลิเวอร์พูล ก็ยังได้ ดิอาซ ที่สร้างความหวือหวาได้ตลอดทั้งเกม
ดิอาซ ถูกเปลี่ยนตัวออกในนาทีที่ 97 เพื่อเปิดทางให้ ดิว็อค โอริกี้ ลงไปเล่นแทน แต่มันน่าภูมิใจแทน ดิอาซ จริง ๆ ที่เพิ่งย้ายมาได้หมาด ๆ แต่สามารถคว้าเหรียญแชมป์มาครอบครองได้แล้ว บางทีหาก มาเน่ หรือ ซาลาห์ คนใดคนหนึ่งย้ายไป การมี ดิอาซ อาจทำให้เหล่าเดอะค็อปพออุ่นใจได้บ้าง